วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553

สอนเพศศึกษา

ศาสตราจารย์แพทย์หญิง นงพงา ลิ้มสุวรรณ

การสอนเรื่องเพศให้กับลูก หรือการให้เพศศึกษากับลูกเป็นเรื่องที่พ่อแม่ทั่วไปมีความรู้น้อยมาก ว่าควรทำอย่างไรหรือควรจะทำหรือไม่ คนส่วนใหญ่จึงละเลยไม่ทำเสียเลย ปล่อยให้เด็กไปเรียนรู้เองอย่างถูกๆ ผิดๆ ซึ่งอาจเกิดผลที่ไม่ดีกับตัวเด็กเองได้มาก ทั้งจากความไม่รู้และจากการรู้มาผิดๆ แล้วเกิดทัศนคติผิดๆ เกี่ยวกับเรื่องเพศ ฉะนั้นพ่อแม่จึงควรสอนลูกเรื่องเพศ

ก่อนอื่นพ่อแม่ต้องถามตัวเองก่อนที่จะสอนลูกว่า พ่อแม่เองมีทัศนคติหรือมีความคิดเกี่ยวกับเรื่องเพศอย่างไรบ้าง พ่อแม่เองที่มีความคิดว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องไม่ดี เป็นเรื่องน่าอดสู เป็นเรื่องน่าอาย หรือเป็นเรื่องสัปดน เป็นเรื่องไม่สุภาพที่จะพูดถึง หรือบางคนถึงกับคิดว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องน่าขยะแขยงหรือสกปรก ถ้าคิดแบบนี้พ่อแม่ ไม่ควรสอนเอง เพราะจะทำให้เด็กมีทัศนคติที่ไม่ดีกับเรื่องเพศไปด้วย พ่อแม่ต้องเปลี่ยนทัศนคติให้ได้ก่อนว่า เรื่องเพศเป็นเรื่องธรรมชาติ ที่มนุษย์เกิดมามีสองเพศ ความต้องการทางเพศเป็นเรื่องธรรมดาเหมือนๆ กับที่เราต้องการความรัก ต้องการความสุข พ่อแม่ควรมีความคิดว่าการมี เพศสัมพันธ์นั้นเป็นการแสดงออกซึ่งความรักระหว่างหญิงและชาย การถ่ายทอดความคิดเรื่องเพศที่ถูกต้องนี้จะเป็นการป้องกันการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่เลือกหรือป้องกันการมีพฤติกรรมสำส่อนทางเพศของลูกได้เป็นอย่างดี


การสอนเรื่องเพศให้กับลูก ควรเริ่มตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ โดยสอดแทรกไปในชีวิตประจำวันที่พ่อแม่เลี้ยงดูเขา ดังนี้

การสอนลูกเรียนรู้เกี่ยวกับอวัยวะเพศ
ให้เริ่มสอนตั้งแต่ตอนเริ่มสอนลูกเรียกส่วนอื่นๆของร่างกาย โดยใช้ช่วงเวลาอาบน้ำให้ลูก ให้สอนเรียกชื่อของอวัยวะเพศเหมือนกับที่เราสอนลูกว่า นี่เรียกว่า ตา หู ปาก จมูก ไม่ใช่เลี่ยงไปไม่เอ่ยถึงบริเวณนี้ ของร่างกายเลย ให้ใช้ชื่อที่เด็กเข้าใจ พ่อแม่เรียกเอง (เพราะในสังคมไทยไม่มีชื่อที่เป็นทางการที่คนทั่วไปยอมใช้อย่างแพร่หลายเหมือนของต่างประเทศ) เช่น พ่อแม่อาจเรียกอวัยวะเพศชายว่า จู๋ หรือ เจี๊ยว เพราะชื่อทางการจะเรียกยากกว่าสำหรับเด็ก คือชื่อ องคชาต อัญฑะ ส่วนอวัยวะเพศหญิงพ่อแม่อาจเรียกว่า ปิ๊ หรือ จิ๋ม แต่ส่วนที่มีชื่อแล้วก็ควรเรียกให้ถูกต้อง เช่น ช่องคลอด แคมเล็ก แคมใหญ่ เป็นต้น และพ่อแม่ควรจะสอนให้ลูกดูแลทำความสะอาดอวัยวะเพศเหมือนกับทำความสะอาดส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ทำให้ลูกรู้ว่าอวัยวะเพศนั้นมีคุณค่า มีความสำคัญ รู้จักทำความสะอาดให้ดีเท่าเทียมกับอวัยวะส่วนอื่นๆ ของร่างกาย

สอนโดยการเปิดให้ลูกถามคำถามตั้งแต่เด็ก
การให้ลูกถามคำถามเกี่ยวกับเรื่องเพศตั้งแต่เด็กจะทำให้เกิดการเรียนรู้ที่เป็นธรรมชาติมาก พ่อแม่ เป็นฝ่ายเริ่มต้นกระตุ้นให้เด็กอยากถาม โดยให้คนพี่ช่วยแม่อาบน้ำน้อง แม่อาจเริ่มพูดถึงลูกสมัยที่ยังอยู่ในท้องของแม่ เช่น “ เมื่อตอนหนูอยู่ในท้องแม่ หนูดิ้นเก่งกว่าน้องนะ น้องเค้านอนนิ่งกว่าไม่ค่อยดิ้นเลย “ เมื่อฟังแล้วเด็กจะสนใจอยากรู้ต่อไปเกี่ยวกับตัวเอง เด็กมักจะถามคำถามพื้นฐานเหล่านี้ คือ หนูมาจากไหน?, หนูเข้าไปอยู่ในท้องแม่ได้อย่างไร?, หนูออกมาจากท้องแม่ทางไหน?

คำถาม “ หนูมาจากไหน “ ให้ตอบว่า “ หนูมาจากในท้องแม่เอง โตในท้องแม่ จนตัวโตแข็งแรงแล้วถึงมาโตข้างนอกไงคะ “ แล้วถ้าลูกต้องการรู้ต่อว่าออกจากท้องแม่ได้อย่างไรให้ตอบว่า
“ พอหนูตัวโตแม่ก็คลอดหนูออกมาโดยหมอเค้าช่วย “ ถ้าลูกถามต่อว่าคลอดออกมาทางไหน ให้ ตอบว่า “ แม่ทุกคนจะมีช่องคลอดเป็นช่องทางพิเศษให้ลูกออกมาซึ่งอยู่ใกล้ๆ ช่องปัสสาวะและทวารหนัก แต่ไม่ปะปนกันไม่เลอะเถอะ “

ถ้าเด็กเกิดอยากรู้ต่อและขอดูช่องนั้นหน่อย ให้บอกลูกว่า “ ช่องนี้จะเปิดเฉพาะเวลาเด็กออกเท่านั้น เวลานี้จะปิดแล้วมองไม่เห็น “
ส่วนคำถาม “ หนูเข้าไปอยู่ในนั้นได้ยังไง “ ให้ตอบง่ายๆ ที่เด็กเข้าใจได้ “ หนูอยู่ในตัวแม่อยู่แล้ว โดยเป็นไข่เล็กๆ แต่จะไม่โตเป็นเด็กจนกว่าไข่จะได้ตัวอสุจิจากพ่อมาผสม ไข่จะเริ่มโตเป็นเด็ก ฉะนั้นเด็กทุกคนจึงต้องมีพ่อด้วย “ ถ้าเด็กยังเล็กมักต้องการรู้แค่นี้

ถ้าเด็กโตขึ้นอีกเขาอาจอยากรู้มากขึ้น เช่น อาจถามว่า “ แล้วตัวอสุจิของพ่อไปผสมกับไข่ของแม่ ได้อย่างไร? “ ให้พ่อแม่ตอบว่า “ ผู้ชายและผู้หญิงที่รักกันเหมือนกับพ่อและแม่จะอยากอยู่ใกล้ชิดกัน จึงกอดกัน ใกล้ชิดกันเพื่อให้อวัยวะเพศของทั้งสองคนสอดรับกัน (อาจทำมือประกอบ) แล้วตัวอสุจิจากพ่อจะเข้าไปในตัวแม่ไปผสมกับไข่ ซึ่งการแสดงความรักแบบใกล้ชิดแบบนี้เขาเรียกว่า เพศสัมพันธ์ “

เด็กที่ฉลาดบางคนอาจถามต่ออีกว่า “ หนูขอดูได้ไหมว่าทำยังไง “ ซึ่งพ่อแม่อาจจะตกใจ พ่อแม่ไม่ ต้องตกใจ เพราะเด็กเป็นคนอยากรู้อยากเห็นเป็นสิ่งที่ดี เขาใฝ่รู้ และเป็นการดีที่เขากล้าถามไม่มีความทะลึ่งหรือหยาบโลนอะไรทั้งสิ้น พ่อแม่ควรตอบว่า “ การแสดงความรัก เช่น การกอดจูบยังถือเป็นเรื่องที่ ต้องทำในที่ส่วนตัว หนูจึงไม่ค่อยเห็นพ่อแม่กอดจูบกันตามที่นอกบ้าน ส่วนเพศสัมพันธ์ยิ่งเป็นการแสดงความรักที่ใกล้ชิดพิเศษที่ไม่ต้องการให้ใครเห็นเลย แม่แต่หนูก็ไม่ต้องการให้เห็น “

ถ้าเด็กโตแล้วไม่ถามคำถามเอง
เมื่อไม่ได้สอนลูกตั้งแต่ยังเล็กลูกจะไม่ถาม ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเขาไม่สนใจเรื่องเพศ แต่เขาจะไปพยายามเรียนรู้ด้วยวิธีอื่นๆ เช่น จากเพื่อน จากหนังสือลามก จากภาพยนตร์ แล้วอาจเข้าใจผิดได้ มาก ในกรณีนี้พ่อแม่ต้องกระตุ้นให้ถามคำถามเรื่องพวกนี้ในการพูดคุยกัน ในชีวิตประจำวัน เช่น เวลาทานอาหารด้วยกัน ให้เด็กรู้ว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องที่พูดคุยกันได้ ไม่ใช่เรื่องน่าเกลียดแต่เป็นเรื่องที่ต้องรู้ เป็นเรื่องธรรมชาติ

เมื่อลูกเป็นวัยรุ่น ปัจจุบันทางโรงเรียนส่วนใหญ่จะสอนเด็กทางด้านกายภาพที่แตกต่างกันของผู้หญิงและผู้ชายให้แล้ว ลูกวัยรุ่นจะรู้ว่าระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิงและของผู้ชายประกอบไปด้วยอะไรบ้าง อวัยวะเพศหญิงและเพศชายแตกต่างกันอย่างไร แต่มักไม่ค่อยสอนว่าหญิงหรือชายมีความแตกต่างกันอย่างไรเกี่ยวกับความต้องการหรือความคาดหวังที่จะได้จากเพศตรงข้าม จึงทำให้ไม่เข้าใจกันมาก ความเป็นจริงในความแตกต่างของทั้งสองเพศคือ โดยทั่วไปแล้วผู้หญิงต้องการความรักความสนใจจากเพศชายมากกว่ามีความต้องการทางเพศโดยตรง ผู้หญิงต้องการความใกล้ชิดอบอุ่นรักใคร่ ซึ่งฝ่ายชายอาจเข้าใจว่าผู้หญิงต้องการเพศสัมพันธ์เหมือนกับตน ซึ่งฝ่ายชายมีแรงผลักดันทางเพศมากอยู่แล้วจึงอาจนำพาไปสู่เพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร เพราะยังไม่สามารถรับผิดชอบต่อเพศสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นได้ หรือไม่ได้มีการป้องกันผลเสียต่างๆ ที่จะตามมาจากการมีเพศสัมพันธ์ เช่น การติดโรคเอดส์ การมีท้องโดยยังไม่ได้แต่งงาน ลูกจึงควรรู้ว่าเป็นการไม่เหมาะสมที่จะอยู่กันตามละพังสองต่อสองในที่ลับตาคนอื่นๆ เพราะอาจเสียการควบคุมตัวเองได้ง่าย

วัยรุ่นควรจะรู้ว่ามีทางออกเรื่องความต้องการทางเพศของตน เช่น ทำกิจกรรม เล่นกีฬา หรือแม้แต่การสำเร็จความใคร่เป็นครั้งคราวนั้นเป็นเรื่องปกติที่ทำได้ ถ้าไม่หมกหมุ่น หรือทำมากจนเกินไป